วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิวัฒนาการ กองกลางแมนฯยูไนเต็ด ภาคแรก

1992-93 Paul Ince & Brian McClair เป็นฤดูกาลแรกที่ พรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้น และเป็นฤดูกาลแรกที่ เอริก  "เดอะ คิง"  คันโตน่า ย... thumbnail 1 summary
1992-93 Paul Ince & Brian McClair

เป็นฤดูกาลแรกที่ พรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้น และเป็นฤดูกาลแรกที่ เอริก "เดอะ คิง" คันโตน่า ย้ายจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด เข้ามาร่วมทีม และด้วยการมาของ คิงก็องโต้ ทำให้ "ไบรอัน แม็คแคลร์" ที่เล่นกองหน้าอยู่ก่อนต้องหลีกทางถอยฉากลงมาเล่นเป็นกองกลางคู่ "พอล อินซ์" แทน ปล่อยให้ เอริก คันโตน่า เล่นกองหน้าคู่กับ มาร์ค ฮิวจ์ส และเป็นจุดสิ้นสุดการรอคอย 26 ปี และเป็นจุดเริ่มของตำนานหลายๆอย่าง



1993-94 Paul Ince & Roy Keane


หลังจากได้แชมป์อย่างยิ่งใหญ่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจทุบสถิติเกาะอังกฤษ ดึงตัวมิดฟิลด์หนุ่มหน้ามน(ในเวลานั้น อิอิ) "รอย คีน" มาจาก น็อตติงแฮม ฟอร์เรส เข้ามาเสริมแผงกองกลางให้แน่นขึ้น และมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนผู้นี้ก็ก้าวเข้ามายึดตำแหน่งตัวจริงในแผงกองกลาง เหนือรุ่นพี่อย่าง ไบรอัน ร็อบสัน และ ไบรอัน แม็คแคลร์ จับคู่กับรุ่นพี่อย่าง "พอล อินซ์" ได้เป็นอย่างดี






1994-95 Paul Ince & Brian McClair


1 ในฤดูกาลที่น่าผิดหวังของทีม เพราะพลาดแชมป์ลีกให้กับ แบล็กเบิร์น อย่างน่าเสียดาย แผงกองกลาง "พอล อินซ์" ยังคงเป็นตัวเลือกแรกของ ป๋าเฟอร์กี้ ส่วนคู่ขาของเขาในฤดูกาลนี้ กลับไปเป็น "ไบรอัน แม็คแคลร์" ที่ได้รับโอกาสลงเล่นก่อน รอย คีน เสียส่วนใหญ่ 



1995-96 Roy Keane & Nicky Butt

ฤดูกาลนี้ ป๋าเฟอร์กี้โชว์ความอหังการ ขายผู้เล่นชุดใหญ่ไฟกระพริบทั้ง มาร์ค ฮิวจ์ส อังเดร แคนเชสสกี้ และ "พอล อินซ์" กองกลางตัวหลักที่ขายไปให้ อินเตอร์ มิลาน พร้อมกับดันเด็กสร้างชุดเยาวชน "เฟอร์กี้ เบบส์" ขึ้นมาแทน และคนที่ก้าวขึ้นมาแทน พอล อินซ์ ก็คือ "นิคกี้ บัตต์" และไม่ใช่ปัญหาของผู้เล่นวัย 20 ปี รายนี้เขาและผองเพื่อน Class'92 พาทีมคว้าแชมป์ลีกหักปากกาเซียนทั่วเกาะอังกฤษ



1996-97 Roy Keane & Nicky Butt


หลัง Class'92 ถูกดันขึ้นมา ฤดูกาลนี้จึงเป็นฤดูกาลของพวกเขาอย่างแท้จริง เฟอร์กี้ เบบส์ หลายคนตบเท้ายึดตำแหน่งตัวจริงกันอย่างพรึบพรับ "รอย คีน" ยังคงเป็นกองกลางเบอร์ 1 ของทีม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นมากนัก เพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่และโดนแบนอยู่บ่อยครั้ง "นิคกี้ บัตต์" จึงกลายเป็นกองกลางตัวหลัก โดยมี พอล สโคลส์ จอร์ดี้ ครัฟฟ์ สอดแทรก


1997-98 Nicky Butt & Paul Scholes


เป็นฤดูกาลที่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เมื่อทีมต้องเสีย รอย คีน ที่เจ็บหัวเข่าไปตั้งแต่ต้นฤดูกาล ป๋าเฟอร์กี้ จึงต้องถอย "พอล สโคลส์" ลงมาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางอย่างเต็มตัว คู่กับ "นิคกี้ บัตต์" แม้ว่าจะจบฤดูกาลมือเปล่า แต่ทว่าทั่วทั้งโลกกำลังจะได้เห็น 1 ในกองกลางที่ดีที่สุดของโลกคนนึงแจ้งเกิด


1998-99 Roy Keane & Paul Scholes

เมื่อ "รอย คีน" หายเจ็บกลับมา แน่นอนว่าเขาต้องเป็นตัวเลือกแรกในแดนกลางโดยอัตโนมัติ ตัวเลือกที่สองจึงต้องเป็นการแข่งขันกันระหว่าง นิคกี้ บัตต์ และ "พอล สโคลส์" และก็เป็นรายหลังที่ได้รับโอกาสเป็นตัวจริงมากกว่า พอล สโคลส์ เข้ามาสร้างสมดุลในแดนกลาง และจับคู่กับ รอย คีน ได้อย่างลงตัว คนนึงรุก คนนึงรับ จนกลายเป็นคู่กองกลางที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

**ขออภัยหากมีบางข้อมูลคลาดเคลื่อน

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ใครจะบัญชาการแทน "ไมเคิล คาร์ริค" ?

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นักเตะที่สำคัญที่สุดของแมนฯยูไนเต็ด ในเวลานี้คือ ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ตัวท็อป อย่าง ซลาตัน ป็อกบา รูนีย์ หรือใครๆ แต่เป็... thumbnail 1 summary
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นักเตะที่สำคัญที่สุดของแมนฯยูไนเต็ด ในเวลานี้คือ ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ตัวท็อป อย่าง ซลาตัน ป็อกบา รูนีย์ หรือใครๆ แต่เป็น "ไมเคิล คาร์ริค" รองกัปตันของทีม

สถิติของแมนฯยูไนเต็ด ในยามที่มี ท่านรองปลัด ลงสนาม 11 นัด ไม่แพ้ใคร ชนะ 9 เสมอ 2 ยิง 28 เสีย 8 บ่งบอกได้ถึงความสำคัญของมิดฟิลด์ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นมิดฟิลด์ที่มีอิทธิพลต่อทีมมากที่สุดไปแล้ว 




แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่ายิ่ง ไมเคิล คาร์ริค มีอิทธิพลต่อทีมมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งน่าหนักใจมากเท่านั้น ด้วยวัยของเขาที่ลุล่วงไปถึง 35 ปี จะให้ยืนระยะลงเล่นทุกนัดคงเป็นไปไม่ได้ ถึงเวลาที่ต้องมีใครมาทดแทนเขาเสียที

ปัญหาตัวตายตัวแทน ของท่านรองคาร์ริค ล้วนเป็นปัญหาของแมนฯยูมาตลอดในหลายปีหลัง กุนซือที่ผ่านมา ทั้ง เดวิด มอยส์ หลุยส์ ฟาน กัล หรือแม้แต่ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็มองเห็นถึงปัญหานี้ดี

ถ้าจำกันได้ เป้าหมายแรกสุด ของ เดวิด มอยส์ ที่จะซื้อเข้ามาเสริมทีมก็คือ เชส ฟาเบรกาส แต่สุดท้ายก็ถูก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เวลานั้นคุมเชลซีอยู่ แย่งไป เป้าหมายที่สอง ติอาโก้ อัลคานทาร่า ก็พลาดให้ บาเยิร์น มิวนิค ไปอีก 

และก่อนหน้าจะโดนปลดไม่เดือน เดวิด มอยส์ ลงทุนบินไปชมฟอร์ม โทนี่ โครส ถึงเยอรมัน หมายมั่นจะนำตัวมาให้ได้ แต่สุดท้ายเขาถูกปลดเสียก่อน ก่อนผู้จัดการคนใหม่จะเข้ามาและเบรกดีลนี้ไป

มิดฟิลด์ตัวกลางหนึ่งเดียว ที่ เดวิด มอยส์ ได้มาก็คือ มารูยาน เฟลไลนี่ มาแทน ซึ่งก็อย่างที่เราเห็นกันว่าเป็นยังไง

มาถึงยุค หลุยส์ ฟาน กัล มิดฟิลด์คนแรกที่เขาซื้อ อันเดร์ เอร์เรร่า ที่ถึงแม้จะเข้ามาเพิ่มมิติในกองกลางได้ แต่ไม่สามารถทดแทน ไมเคิล คาร์ริค ได้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ พูดง่ายๆ เอร์เรร่า เป็นมิดฟิลด์ บ็อก-ทู-บ็อก มากกว่าตัวรับ

มอร์กาน ชไนเดอลิน เป็นนักเตะอีกหนึ่งรายที่ อาจารย์หลุยส์ เล็งไว้เฉพาะเจาะจงในการนำมาแทน ไมเคิล คาร์ริค ด้วยตำแหน่งกองกลางตัวรับโดยธรรมชาติ แต่ทว่า เมื่อย้ายมากองกลางชาวฝรั่งเศสกลับ
เล่นได้ไม่เหมือนสมัยอยู่ เซาแฮมป์ตัน จนหลุดเป็นสำรองมา 2 ปีแล้ว

บาสเตียน ชไวสไตรเกอร์ ก็เป็นอีกรายที่ กุนซือชาวดัตช์ นำพา แม้จะดูเข้าท่า ด้วยสไตล์การเล่นที่ฉลาดเหมือนกับ ไมเคิล คาร์ริค แต่อดีตกัปตันเยอรมัน นั้นได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ สภาพร่างกาย ที่เปราะเกินกว่าจะยืนระยะในพรีเมียร์ลีกได้ 


และมิดฟิลด์ที่ หลุยส์ ฟาน กัล ต้องการมากที่สุดอย่าง อาตูโร่ วิดัล ก็ไม่กล้าย้ายมาแมนฯยู ด้วยผลงานของทีมที่กระท่อนกระแท่นในตอนนั้น


มีบางช่วง อาจารย์หลุยส์ พยายามใช้ ดาเล่ย์ บลินด์ หรือ เวยน์ รูนีย์ มายืนเป็นมิดฟิลด์ตัวคุมเกม แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้บริการของ ไมเคิล คาร์ริค อยู่ดี


เข้าสู่สมัยปัจจุบัน โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ทุบคลังเป็นสถิติโลก 89 ล้านปอนด์ กระชากตัว พอล ป็อกบา กลับชายคา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกครั้ง ช่วงต้นซีซั่น โชเซ่ มูรินโญ่ จับ ป็อกบา เล่นมิดฟิลด์ตัวกลางให้เป็นตัวบัญชาการเกม

แต่เล่นไปเล่นมา "ไม่เวิร์ก" ต้องดันขึ้นมาเล่น กองกลางตัวรุก ในระยะหลัง และกลับมาใช้ ไมเคิล คาร์ริค คุมเกมให้ อีกครั้ง อีกคน

เห็นได้ว่า ไมเคิล คาร์ริค มีอิทธิพลอย่างเงียบๆในเกมของแมนฯยูไนเต็ด ตลอด 3 ปี หรือมากกว่านั้น หรือตั้งแต่ พอล สโคลส์ เลิกเล่น


คำถามคือ ใครจะมาแทนเขา? ดูจากลิสต์นักเตะที่แมนฯยู พลาดไปตลอด 3 ปี เรียกได้ว่าแถบหมดตลาดแล้ว เชส ฟาเบรกาส ติอาโก้ อัลคานทาร่า โทนี่ โครส อาร์ตูโร่ วิดัล 4 คนนี้ได้ใครมาก็เล่นแทนได้สบายๆ


โดยเฉพาะ โทนี่ โครส ที่น่าจะเข้ากับแมนฯยู ได้เป็นอย่างดี


แต่ถ้ามองกันดีๆเห็นจะมีอยู่ 1 ราย ที่เหมาะสมจะเข้ามาแทน ไมเคิล คาร์ริก ด้วยประการทั้งปวง นั่นก็คือ "มาร์โก้ แวร์รัตติ" กองกลางตัวคุมเกมของ ปารีส แซงต์ แชงแมง ที่มี "คลาส" มากพอ และสไตล์การเล่นใกล้เคียงกัน อายุก็ยังน้อย


และตอนนี้ได้เวลาที่จะลุยยุโรปแล้วสำหรับเขา ด้วยอายุ 24 ปี เขาไม่ใช่ดาวรุ่งอีกต่อไป ถึงแม้ว่า PSG จะเป็นทีมใหญ่ก็จริง แต่ต้องยอมรับว่า ลีกเอิง ยังสู้ลีกยักษ์อื่นๆของยุโรปไม่ได้ หากเขาอยากก้าวไประดับโลก ต้องย้ายทีม! 


และต้องมา แมนฯยูไนเต็ด เท่านั้นด้วย !!


คลิกเลย >> วิวัฒนาการ กองกลางแมนฯยูไนเต็ด ภาคแรก